สัตตรสกัณฑ์
แม่เจ้าทั้งหลาย
ก็ธรรมคือสังฆาทิเสส ๑๗ สิกขาบทนี้แล มาสู่อุเทศ
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่
๑
เรื่องอุบาสกกับภิกษุณีถุลลนันทา
[๓๑]
โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น
อุบาสกคนหนึ่ง ถวายโรงเก็บของแก่ภิกษุณีสงฆ์แล้วถึงอนิจกรรม
เขามีบุตรอยู่ ๒ คน ๆ หนึ่ง เป็นคนไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส
อีกคนหนึ่งเป็นคนมีศรัทธา เลื่อมใส บุตร ทั้งสองนั้นแบ่งสมบัติของบิดาแล้ว.
ต่อมาบุตรคนที่ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส จึงได้พูดกับบุตรคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสว่า
โรงเก็บของ ๆ เรายังมีอยู่ เรามา แบ่งกันเถิด เมื่อเขาพูดอย่างนั้นแล้ว
บุตรคนที่ศรัทธาเลื่อมใสพูดห้ามว่า เจ้า อย่าได้พูดอย่างนี้
โรงเก็บของนั้น บิดาของเราได้ถวายภิกษุณีสงฆ์แล้ว
.
แม้ครั้งที่สอง
บุตรคนที่ไม่มีศรัทธาไม่เลื่อมใส ก็พูดว่า โรงเก็บของ
ๆ เรา เราจะแบ่งกัน บุตรคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสก็พูดห้ามว่า
เจ้าอย่าได้พูดอย่าง นี้ โรงเก็บของนั้น บิดาของเราได้ถวายแก่ภิกษุณีสงฆ์แล้ว
.
แม้ครั้งที่สาม
บุตรคนที่ไม่มีศรัทธาไม่เลื่อมใส ก็พูดว่า โรงเก็บของ
ๆ เรา เราจะแบ่งกัน บุตรคนที่มีศรัทธาเลื่อมใสจึงคิดว่า
ถ้าโรงเก็บของนั้นจัก เป็นของเรา เราก็จักถวายแก่ภิกษุณีสงฆ์
แล้วกล่าวว่า เราจงแบ่งกันเถิด บังเอิญโรงเก็บของที่เขาทั้งสองแบ่งกันนั้น
ได้ตกแก่บุตรคนที่ไม่มีศรัทธา ไม่ เลื่อมใส.
จึงบุตรคนที่ไม่มีศรัทธาไม่เลื่อมใสได้เข้าไปหาภิกษุณีทั้งหลาย
แล้ว บอกว่า เชิญแม่เจ้าทั้งหลายออกไปเถิดเจ้าข้า
เพราะโรงเก็บของเป็นของข้าพเจ้า.
เมื่อเขาบอกอย่างนั้นแล้ว
ภิกษุณีถุลลนันทาได้พูดว่า นายอย่าพูด อย่างนี้ บิดาของพวกนายได้ถวายแก่ภิกษุณีสงฆ์แล้ว.
ต่างเถียงกันอยู่ว่า
ถวายแล้ว ไม่ได้ถวาย แล้วฟ้องมหาอำมาตย์ผู้ พิพากษา
ๆ ถามว่า แม่เจ้า ใครเล่าจะทราบว่าได้ถวายแล้วแก่ภิกษุณีสงฆ์.
เมื่อเขาถามอย่างนั้น
ภิกษุณีถุลลนันทาย้อนถามว่า พวกท่านได้เห็น หรือได้ยินไหมว่า
ทานที่เขาถวายกันต้องตั้งพยานด้วย.
จึงมหาอำมาตย์เหล่านั้นพูดว่า
แม่เจ้าพูดจริงแท้ แล้วได้ตัดสินโรง เก็บของนั้นให้แก่ภิกษุณีสงฆ์.
ครั้นบุรุษนั้นแพ้คดีแล้ว
จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ภิกษุณี โล้นเหล่านี้ไม่เป็นสมณะ
เป็นหญิงฉ้อโกง ไฉนจึงได้ไห้ผู้พิพากษาริบโรงเก็บ
ของ ๆ เราเสียเล่า.
ภิกษุณีถุลลนันทาได้แจ้งความเรื่องนั้นแก่มหาอำมาตย์
ๆ ได้ให้ปรับ ไหมบุรุษนั้น.
ครั้นบุรุษนั้นถูกปรับไหมแล้ว
ได้ให้สร้างที่พักอาชีวกไว้ใกล้ ๆ สำนัก ภิกษุณี แล้วส่งพวกอาชีวกไปอยู่ด้วยสั่งว่า
จงช่วยกันกล่าวล่วงเกินภิกษุณี พวกนั้น.
ภิกษุณีถุลลนันทาได้แจ้งความนั้นแก่มหาอำมาตย์
ๆ ได้ให้จองจำเขา แล้ว พวกชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาว่า ครั้งแรกพวกภิกษุณี ได้ให้เจ้าหน้าที่ริบโรงเก็บของ
ครั้งที่สองให้ปรับไหม ครั้งที่สามให้จองจำ คราวนี้เห็นที่จะให้ประหารชีวิต.
พวกภิกษุณีได้ยินชาวบ้านพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาอยู่
บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย. . .ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนา ว่าไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้ชอบเป็นคนกล่าวหาเรื่องเล่า
แล้วแจ้งเรื่องนั้นแก่ ภิกษุทั้งหลาย ๆ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
่
|